ReadyPlanet.com
dot dot
dot
ศูนย์อาชีวอนามัยบริการ ให้เช่า และ ศูนยเครื่องมือแพทย์บริการ ให้เช่า
dot
bulletให้เช่า Bone Densitometer เครื่องตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูก ข้อมือ
bulletให้เช่า Bone Densitometer2 เครื่องตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูก ข้อเท้า
bulletให้เช่า EKG เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ พริ๊นเตอร์ A4
bulletให้เช่า vision screener เครื่องตรวจสายตาอาชีวอนามัย
bulletให้เช่า Spirometer เครื่องวัดสมรรถภาพปอด
bulletให้เช่า Audiometer เครื่องตรวจการได้ยิน
bulletเครื่องวัดแรงบีบมือ,เครื่องวัดแรงเหยียดขา หลัง
bulletAuto Refractometer คอมพิวเตอร์ตรวจวัดสายตา
dot
รับตรวจสุขภาพสายตาให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลและองการบริหารส่วนจังหวัด
dot
bulletรับเหมาโครงการตรวจสุขภาพสายตาประกอบแว่นตาผู้สูงอายุ
dot
สาระน่ารู้
dot
bulletภูมิแพ้ที่ตา
bulletต้อลม (pinguecula)
bulletตาขี้เกียจ Lazy Eye
bulletต้อกระจก (Cataract)
bulletต้อเนื้อ (Pterygium)
bulletต้อหิน (Glaucoma)
bulletการฝึกกล้ามเนื้อตาด้วยตนเอง
bulletตาขี้เกียจ (AMBLYOPIA)
bulletการดูแลสุขภาพดวงตา
bulletตาเหล่
bulletดูเหมือนตาเหล่
bulletเลเซอร์ช่วยดวงตา
bulletอุบัติเหตุต่อตา
bulletเบาหวานทำให้ตาบอด
bulletโรคจุดภาพชัดเสื่อม
dot
เลนส์โปรเกรสซีพคุณภาพ2_pdf
dot
bulletFreedom
bulletSEIKO LENS
bulletDiscovery WFT
dot
มุมพระเครื่อง (พระโชว์)
dot
bulletพระร่วงยืนหลังรางปืนสนิมแดง
bulletพระสมัยศรีวิชัย,อู่ทอง
bulletหลวงปู่บุญพระหล่อโบราณ ..ฯ
dot
Link.
dot
bulletใบจดทะเบียนธุรกิจ (บริษัท)


http://84000.org/
http://www.drtulaya.com/


ประวัติพระสมเด็จบางขุนพรหม

 

    พระสมเด็จบางขุนพรหมเป็นพระในสกุล “พระสมเด็จวัดระฆัง” ที่สร้างโดย เสมียนตาเจิมและปลุกเสกโดยสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสีเป็นที่พึงปรารถนาแก่ประชาชนที่เคารพกราบไหว้พระคุณอันประเสริฐของท่านนับวันมงคลวัตถุนี้กำลังจะหาได้ยากยิ่ง และราคาก็สูงยิ่งเช่นเดียวกันข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่เครารพบูชาท่านเป็นที่ยิ่งและได้มีโอกาสครอบครองพระในสกุลพระสมเด็จวัดระฆัง และสมเด็จบางขุนพรหมหลายรุ่นจึงได้พยายามศึกษาค้นคว้าประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสีและการสร้างพระสมเด็จเทียบเคียงกันทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ความเป็นมากับหลักการทางวิทยาศาสตร์และร่วมศึกษาหาความรู้ด้วยกันกับท่านทั้งหลาย เพื่อเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทาน
ปีพุทธศักราช ๒๔๑๐ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสีท่านได้เริ่มทำการก่อสร้างพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนปางโปรดสัตว์ (ยืนอุ้มบาตร)โดยใช้ซุงทั้งต้นเป็นฐานราก และควบคุมการก่อสร้างด้วยตัวท่านเองที่วัดอินทรวิหารอันเป็นวัดที่ท่านได้จำพรรษาอยู่เมื่อครั้งยังเป็นสามเณรในระหว่างการก่อสร้างเสมียนตราด้วง ต้นสกุล ธนโกเศรษฐและเครือญาติได้ปวารณาตนเองเป็นโยมอุปัฏฐากของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี
ครั้นในปี พ.ศ. ๒๔๑๑ "เสมียนตราด้วง" ต้นสกุล "ธนโกเศศ"ได้ทำการบรูณะพระอารามวัดใหม่อมตรส และปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ไว้เพื่อเป็นมหากุศลและเป็นพระเจดีย์ประจำตระกูล ตามประเพณีนิยมในสมัยนั้นโดยได้สร้างพระเจดีย์ขึ้นสององค์ องค์ใหญ่เพื่อบรรจุพระพิมพ์ต่างๆตามโบราณคติในอันที่จะสืบทอดพระพุทธศาสนาและสร้างเจดีย์องค์เล็กเพื่อบรรจุอัฐิธาตุบรรพบุรุษ โดยเริ่มสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๑๑ จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๑๓ จึงแล้วเสร็จจากนั้นจึงได้กราบนมัสการขอความเห็นจากสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสีในการสร้างพระสมเด็จเพื่อสืบทอดทางพระพุทธศาสนาและเป็นการสร้างมหาบุญแห่งวงศ์ตระกูล สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสีท่านได้ให้อนุญาตและมอบผงวิเศษที่ใช้ในการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังของท่านให้ส่วนหนึ่ง (จากข้อเขียนของนายกนก สัชฌุกรที่ได้สัมภาษณ์ท่านเจ้าคุณธรรมถาวรซึ่งมีชีวิตทันสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสีความว่า ได้ผงวิเศษประมาณครึ่งบาตรพระและทุกครั้งที่ตำผงในครกท่านเจ้าประคุณสมเด็จจะโรยผงวิเศษของท่านมากบ้างน้อยบ้างตามอัธยาศัยจนกระทั่งแล้วเสร็จ)เมื่อได้ผงวิเศษแล้วเสมียนตราเจิมและทีมงานก็ได้จัดหามวลสารต่างๆตรงตามตำราการสร้างพระสมเด็จของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ทุกประการ
ในเรื่องของการสร้างพิมพ์ขึ้นมาใหม่นั้นมีการจัดสร้างและแกะพิมพ์แม่แบบขึ้นมาใหม่ทั้งหมดจำนวน๙ พิมพ์ เป็นพิมพ์ชิ้นเดียวตัดขอบและปาดหลังโดยฝีมือของช่างสิบหมู่แห่งกรุงรัตนโกสินทร์แต่น่าจะเป็นคนละทีมกับช่างที่แกะพิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังแต่เนื่องด้วยเป็นฝีมือช่างในยุคเดียวกันมีศิลปะในสกุลช่างเดียวกันและต้นแบบที่สำคัญคือพิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังดังนั้นพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมจึงมีความสวยงามใกล้เคียงกันกับพระสมเด็จวัดระฆังเป็นอย่างยิ่ง
พิมพ์พระสมเด็จบางขุนพรหม ๙ พิมพ์
๑.พิมพ์ใหญ่
๒. พิมพ์ทรงเจดีย์
๓. พิมพ์เกศบัวตูม
๔. พิมพ์เส้นด้าย
๕. พิมพ์ฐานแซม
๖.พิมพ์สังฆาฏิ
๗. พิมพ์ปรกโพธิ์
๘. พิมพ์ฐานคู่
๙.พิมพ์อกครุฑ
จำนวนที่สร้างสันนิษฐานกันว่า ๘๔,๐๐๐ องค์ เท่ากับพระธรรมขันธ์พระสมเด็จที่สร้างเสร็จจะมีเนื้อขาวค่อนข้างแก่ปูน
การปลุกเสกโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสีได้เจริญพระพุทธมนต์และปลุกเสกเดี่ยวจนกระทั่งบริบูรณ์ด้วยพระสูตรคาถา
เมื่อได้ปลุกเสกเป็นที่สุดแล้วได้มีการเรียกชื่อพระสมเด็จนี้ว่า “พระสมเด็จบางขุนพรหม” ตามตำบลที่ตั้งของพระเจดีย์และได้ถูกนำเข้าบรรจุกรุในพระเจดีย์ใหญ่และพระเจดีย์เล็กทั้งสิ้นไม่มีการแจกจ่ายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดรวมทั้งมีข้อสันนิษฐานว่าได้นำพระสมเด็จวัดระฆังลงบรรจุกรุด้วยดังที่หลาย ๆท่านนิยมเรียกกันว่า “พระสองคลอง”
หลังจากที่ได้บรรจุพระสมเด็จไว้ในพระเจดีย์ทั้งสองแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๑๓จนกระทั่งเกิดวิกฤตกับประเทศในกรณีพิพาทกับประเทศฝรั่งเศสในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ และในกรณีพิพาทอินโดจีนได้มีการลักลอบเปิดกรุถึงสามครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๔๒๕
ครั้งที่ ๒พ.ศ. ๒๔๓๖
ครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๔๕๙
ในการลักลอบเปิดกรุทั้งสามครั้งนี้ผู้ลักลอบได้ใช้วิธีต่าง ๆ เช่น การตกเบ็ด โดยใช้ดินเหนียวปั้นเป็นก้อนกลมๆติดกับปลายเชือกหย่อนเข้าไปทางรูระบายอากาศติดพระแล้วดึงขึ้นมาการใช้น้ำกรอกเข้าไปทางรูระบายอากาศเพื่อให้น้ำไปละลายการเกาะยึดขององค์พระเป็นต้นซึ่งการลักลอบเปิดกรุทั้งสามครั้งนั้นพระสมเด็จที่ได้จะอยู่ในส่วนบนจึงสวยและมีความสมบูรณ์ นักนิยมพระสมเด็จเรียกกันว่า “ พระสมเด็จบางขุนพรหมกรุเก่า ” ซึ่งลักษณะของวรรณะจะปรากฏคราบกรุเพียงเล็กน้อย หรือบางๆเท่านั้นพิมพ์คมชัดสวยงามเนื้อหนึกนุ่ม เนื้อละเอียดมีน้ำหนักและแก่ปูน
ท้ายที่สุดคือการลักลอบขุดกรุที่ฐานในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ วิธีนี้ได้พระไปเป็นจำนวนมาก (เป็นที่มาของพระสมเด็จบางขุนพรหมกรุธนา เรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรงของพระภิกษุวงศ์ สุธรรมโม หรือพระอาจารย์จิ้ม กันภัยความว่าในตอนกลางคืนฝนตกไม่หนักมากนักนักเลงพระทางภาคเหนือได้ร่วมกันลักลอบเจาะที่บริเวณใกล้ฐานของพระเจดีย์พอตัวมุดเข้าไปได้และนำพระออกมาได้เป็นจำนวนมากจนหิ้วไม่ไหวประกอบกับกลัวเจ้าหน้าที่จะพบเห็นจึงทิ้งไว้ข้างวัดก็หลายถุงมีบุคคลผู้หนึ่งชื่อธนาบ้านอยู่ในละแวกวัดได้เก็บพระชุดนี้ไว้เป็นจำนวนมากจะเก็บได้จากผู้ที่ลักลอบทิ้งไว้หรือซื้อมาก็มิอาจทราบได้แต่ภายหลังได้ขายให้กับคุณเถกิงเดช คล่องบัญชี ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านเองซึ่งต่อมาได้เขียนหนังสือร่วมกับนายสุคนธ์ เพียรพัฒน์ เรื่อง “สี่สมเด็จ” ซึ่งพระสมเด็จบางขุนพรหมที่ซื้อมามีทั้งที่สวยงามมีคราบกรุน้อยและคราบกรุหนาจับกันเป็นก้อนก็มี) จนกระทั่งทางวัดใหม่อมตรสได้ติดต่อให้กรมศิลปากรเข้ามาดูแล และเปิดกรุอย่างเป็นทางการโดยเชิญ พลเอกประภาสจารุเสถียร เป็นประธานในพิธีเปิดกรุเมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๐พระที่นำออกมาครั้งนี้นักนิยมพระสมเด็จเรียกกันว่า “ พระสมเด็จบางขุนพรหม กรุใหม่ ” เมื่อนำมาคัดแยกคงเหลือพระที่มีสภาพดีและสวยงามเพียงสามพันองค์เศษเท่านั้นที่เหลือจับกันเป็นก้อน หักชำรุดแทบทั้งสิ้นลักษณะของวรรณะส่วนใหญ่จะมีคราบกรุค่อนข้างหนาและจับกันเป็นก้อนที่สภาพดีจะพบว่าผิวของพระเป็นเกล็ดๆทั่วทั้งองค์ หรือที่เรียกว่าเหนอะ มีคราบไขขาวฟองเต้าหู้ คราบขี้มอด จะตั้งชื่อหรือเรียกว่าอย่างไรก็สุดแล้วแต่ล้วนเกิดขึ้นจากปฎิกริยาระหว่างน้ำกับปูนและเนื้อมวลสารที่เป็นองค์ประกอบของพระสมเด็จทั้งสิ้นทั้งสภาพเปียกชื้น ร้อน เย็น และถูกแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานกับดินโคลน เป็นต้นแต่แปลกตรงที่ว่าพระสมเด็จบางขุนพรหมเมื่อถูกใช้สักระยะเนื้อจะเริ่มหนึกนุ่มใกล้เคียงกับพระสมเด็จวัดระฆังเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนในเรื่องของทรงพิมพ์ที่เรียกกันว่าพิมพ์นิยม ๙ พิมพ์นั้นพิมพ์ที่พบน้อยที่สุดคือพิมพ์ปรกโพธิ์ กล่าวกันว่ามีไม่ถึง ๒๐ องค์และที่สำคัญยังพบพิมพ์ไสยาสน์อีกหลายแบบมีประมาณไม่เกิน ๒๒ องค์ซึ่งในปัจจุบันหาดูได้ยากมากในส่วนของกรุพระเจดีย์เล็กนักเลงพระในยุคนั้นไม่ค่อยให้ความสนใจแต่ปรากฏว่าหลังจากเปิดกรุก็ได้พบพระสมเด็จอยู่มากมายนับได้เป็นพันองค์ทรงพิมพ์ที่พบได้แก่ พิมพ์ฐานคู่ พิมพ์ฐานหมอน พิมพ์สามเหลี่ยม (หน้าหมอน)พิมพ์จันทร์ลอย ลักษณะของวรรณะคราบกรุจะไม่มากจะมีความสวยงามกว่ากรุพระเจดีย์ใหญ่ซึ่งในปัจจุบันหาดูได้ยากเช่นกัน
หลังจากเปิดกรุอย่างเป็นทางการทางวัดได้ประทับตราที่ด้านหลังขององค์พระ
เพื่อกันการปลอมเรียกกันว่า “ตราน้ำหนัก” และจำหน่ายในราคามากอยู่ แต่ก็หมดลงในเวลาไม่นานนัก
ในช่วงเวลาดั้งกล่าว พระที่ถูกขโมยออกจากกรุไป กลับมาจำนวนมาก โดยที่ผมประมาณนะในกรุมีทั้งหมด ๘๔๐๐๐ องค์ เปิดกรุได้ ๓๐๐๐ เศษ (แต่ให้บูชาได้ ๒๙๕๐ องค์ พระหาย)ชำรุดประมาณ ไม่เกิน ๑๐๐๐ องค์ เท่ากับว่า พระหาย ออกจากกรุประมาณ ๗๐๐๐๐ องค์และกลับมาในเวลาดั้งกล่าวส่วนหนึ่ง โดยให้คนเข้าไปในวัดแล้วเช่าพระออกมาดูตราน้ำหนักของวัด และปลอมขึ้น จะได้ขายได้ แล้วก็ขายกันข้างวัดเลยแต่ก็ดูไม่ยากครับ พระที่ขโมยออกไปมีสภาพสวยครับ คราบกรุน้อย เวลาปั้มตราจะเห็นชัดครบทั้งหมด ส่วนพระที่เปิดกรุ ปี ๒๕๐๐ หลังจะไม่สวย คราบกรุเยอะ ตรายางจะไม่ชัดการสังเกตตรายาง ตรายางสมัยก่อน จะเนื้อแข็ง ปั้มได้บนพื้นที่ราบเรียบดังนั้นบนคราบกรุ หรือรูบ่อน้ำตา และขี้กรุที่สูงๆต่ำๆ จะไม่ติดชัด (ใช้ไม้บรรทัดวางแนวหาองศาดูครับ ว่าตรายางอยู่บนแนว ๑๘๐ องศาหรือเปล่า)ถ้าเป็นตรายางสมัยใหม่จะเป็นยาง ซิลิโคลน จะมีความนุ่ม และจะปั้มชัดมากแม้กระทั่งในรูเล็กๆ สีของตรายางเองก็ต้องเปลี่ยนไป เป็นสีน้ำเงินม่วงหรือม่วงอมแดง ต้องไม่ใช่สีน้ำเงิน และไม่ใช่สีฟ้า เพราะผ่านมา ๕๐ ปีแล้วครับส่วนองค์พระนั้น ตอนที่บรรจุกรุอยู่ในหลุมถูกวางเรียงหงายหน้าขึ้นและซ้อนกันหลายชั้น พระจึงมีแรงกดจำนวนมากและมีความชื้นตั้งแต่แรกทำให้พระบางองค์ติดกัน และบิดงอไปทางด้านหลังส่วนใหญ่ และทำให้เกิดเนื้อเกินหลังองค์พระที่มีอายุเท่ากับองค์พระนั้นเอง(ตอนเปิดกรุพบบางขุนพรหมชำรุดด้านหน้าเป็นจำนวนมาก)และพระอยู่ในกรุ ๘๗ ปี ด้านหลังจะไม่เห็นรอยปาดแล้ว มีแต่คราบเหนอะ คราบกรุเท่านั้นจากตรงนี้ ทำให้ผมต้องตัดใจเลือกทางที่ไม่เหมือนใคร คือ การดูแสงพุทธคุณแสงพุทธคุณผมแบ่งเป็น ๔ ระดับครับ
๑.แสงสีขาวทองสว่างจ้า เป็นแสงของสมเด็จที่ท่านทำกับมือ และสมเด็จพิมพ์ประจำวัน
๒.แสงสีขาวจ้าเต็มองค์ เป็นแสงของสมเด็จพิมพ์หลวงวิจารณ์เจียรนัย และพระเกจิบางท่าน
๓.แสงสีขาวไม่เต็มองค์เป็นแสงของ สมเด็จบางขุนพรหม เพราะมวลสารน้อย และพระเกจิบางท่าน รวมถึง (สมเด็จยายขำบางองค์)
๔.แสงสีขาวเป็นจุดๆ เป็นแสงของพระต่างๆที่มีมวลสารของสมเด็จ ผสมอยู่และพระต่างๆที่จะใกล้หมดพุทธคุณ
ธาตุที่ให้แสงดี และพุทธคุณแรงที่สุด คือธาตุปูน รองมาก็ธาตุไม้(คนโบราณจึงนิยมใช้สร้างพระ)







Copyright © 2010 All Rights Reserved.

■ http://www.hiluxoptical.com/ สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๗■ สำนักงานแว่นตา ไฮลักส์ และ บริษัท ไฮลักส์ ออฟติคอล โมบาย จำกัด โทร 02-4540417 , 02-8044116 Fax. 02-4133276 ■ Email: hiluxoptical@hotmail.com ■ HILUX OPTICAL Mobile Co., Ltd.