หน้าแรก | เกี่ยวกับเรา | บริการของเรา | เครื่องมืออุปกรณ์ | ติดต่อเรา | กระดานสนทนา |
ตาบอดสี | |
คนตาบอดสีส่วนใหญ่จะเป็นมาแต่กำเนิดโดยจะไม่รู้ตัวจนอายุหลายสิบปีเป็นหนุ่มสาวจึงได้รู้ว่าตัวเองตาบอดสี แต่มิใช่ว่าคนตาบอดสีจะอยู่ในโลกของสีขาวและสีดำหรือมองไม่เห็นสีเลย อันเป็นความเข้าใจผิดของคนทั่วไป ตาบอดสีส่วนใหญ่จะสับสนในการแยกสีในกลุ่มสีเขียวกับสีแดงอมม่วงเท่านั้น มีเป็นส่วนน้อยที่มีความสับสนในการแยกสีแดงเข้มกับสีเขียวเข้ม และส่วนน้อยมากที่มองไม่เห็นสีเลย ฉะนั้นคนที่เราเรียกว่า ตาบอดสี หมายถึง คนที่มองเห็นสีในโทนเขียวและโทนแดงผิดไปจากคนปกติเท่านั้นหรือไม่สามารถแยกสีต่างๆ ได้ทั้ง 3 สี คือ สีแดง, สีเขียว, สีน้ำเงิน
คนเรามองเห็นสีต่างๆ ได้อย่างไร
การที่คนเราสามารถเห็นเป็นสีต่างๆ ได้นั้นเกิดจากการผสมของกันของสี 3 สี ได้แก่ สีแดง, สีเขียว, สีน้ำเงิน และสีต่างๆ จากภาพที่ปรากฏต่อหน้าเรานั้นจะต้องเดินทางผ่านกระจกตา ( Cornea ) ,แก้วตา ( Lens ) ตรงไปปรากฏเป็นภาพอยู่บนจอประสาทตา ( Retina ) ที่จอประสาทตาก็มีเซลล์รับแสงที่จะเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นสัญญาณประสาทอยู่ 2 ชนิดคือ
1. Blue – Sensitive Pigments ( Cyanolabe ) มีความไวต่อแสงที่มีความยาวคลื่นแสงที่ 400 NM. คือสีน้ำเงิน ( ความยาวคลื่นแสงสั้น )
2. Green - Sensitive Pigments ( Chlorolabe ) มีความไวต่อแสงที่มีความยาวคลื่นแสงที่ 540 NM. คือ สีเขียว ( ความยาวคลื่นแสงปานกลาง )
3. Re - Sensitive Pigments ( Erythrolabe ) มีความไวต่อแสงที่มีความยาวคลื่นแสงที่ 570 Nm. คือ แสงสีแดง ( ความยาวคลื่นแสงสูง )
แต่เม็ดสีทั้ง 3 ชนิดนี้มีความคาบเกี่ยวกันที่บริเวณจอประสาทตา ตรงกึ่งกลางของเรติน่า จะเป็นตำแหน่งของ Macula และโฟเวียที่บริเวณ Macula ส่วนใหญ่ประกอบด้วย Cone Cells และรอบๆ จะเป็น Rod Cells
ถ้ามีแสงสีแดงตกลงบนจอประสาทตา Cons ที่ไวต่อแสงสีแดงจะถูกกระตุ้น ส่งสัญญาณประสาทออกมามาก สมองก็จะรับรู้ถึงแสงสีแดงได้
ในกรณี Rod Cones เลยจะเห็นสีแดงเป็นเม็ดสีแดงอยู่ใน Rod Cones เลยจะเห็นสีแดงเป็นสีดำ โดยคนๆ นี้อาจจะผูกเนตไทสีแดงไปงานศพก็ได้ เราพบว่ามีคนตาบอดสีแดงแบบนี้ประมาณ 1 % เท่านั้น
ในคนตาบอดสีเขียวสามารถเห็นสีปฐมภูมิได้ 2 สี คือ
- พวกที่มีความยาวคลื่นแสงยาว ( เหลือง, ส้ม, แดง ) จะปรากฏแลเห็นเป็นสีเหลือง
- พวกที่มีความยาวคลื่นแสงสั้น ( น้ำเงิน, ม่วง ) จะปรากฏออกมาแลเห็นเป็นสีน้ำเงิน
คนที่ตาบอดสีเขียวจะไม่สามารถแยกสีแดงและสีเขียวออกจากกันได้
คนที่ตาบอดสีเขียวและสีแดงจะมีลักษณะที่เหมือนกัน คือ สามารถแลเห็นได้เฉพาะสีเหลืองและสีน้ำเงิน
ในคนตาบอดสีน้ำเงินหาไม่ค่อยได้ คนพวกนี้จะไม่สามารถแยกสีน้ำเงินและสีเหลืองออกจากกัน เขาสามารถแลเห็นได้ 2 สี คือ สีแดง และสีเขียว หรือสีน้ำทะเล
พวกตาบอดสีน้ำเงินมักจะเกิดที่หลังซึ่งเป็นผลมาจากการเป็นโรคของจอประสาทตา เช่น Retina Detachment ( จอตาหลุดออก ) ส่วนที่จะเป็นมาแต่กำเนิดนั้นไม่ค่อยพบ
คนตาบอดสีส่วนใหญ่จะมีอาการอย่างไร
ความผิดปกติในการมองเห็นสีต่างๆ กันอันเนื่องมาจากความผิดปกติของเซลล์ประสาทที่อยู่บนจอรับภาพ โดยคนปกติมีเซลล์ประสาทรับสีอยู่ 3 ชนิด ทำให้สามารถมองเป็นส่วนผสมที่พอเหมาะของแสงสีแดง, สีเขียว และสีน้ำเงิน ที่ฉายไปบนฉากอันเดียวกันทำให้เป็นแสงสีขาวได้ แต่ถ้าเซลล์ประสาทของสีใดไม่ทำงานหรืออ่อนกำลังก็จะต้องเพิ่มสีนั้นลงไปในส่วนผสมเพื่อจะได้เห็นเป็นสีขาว
ตาบอดสีแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. เป็นมาแต่กำเนิด ซึ่งพบว่ามีประมาณ 8% ของผู้ชายและประมาณ 0.5% ของผู้หญิงซึ่งจะเก็บยีนไว้เป็นลักษณะถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมโดยเป็นลักษณะด้อยบนโครโมโซม X ในผู้ชายซึ่งมี โครโมโซม X เพียงอันเดียวจึงมีการแสดงออกมาว่าเป็นตาบอดสีมากกว่าในผู้หญิง
ดังนั้นผู้ชายซึ่งมี โคโมโซม X จะแสดงอาการของตาบอดสีส่วนผู้หญิง โครโมโซม XX อาการตาบอดสีจะไม่ปรากฏแต่จะเป็นตัวเก็บยีนไว้เพื่อถ่ายทอดทางพันธุกรรม ให้ผู้หญิงอาจมีอาการที่เห็นได้ชัดเจน คือ จะเห็นสีชมพู่กับสีเหลืองเหมือนกับสีเขียวอ่อน ส่วนสีแดงเข้มและสีเขียวนั้นมักจะไม่สับสน จึงขับรถได้ปกติและดำรงชีวิตเหมือนคนปกติทุกอย่าง นอกจากนี้ยังสามารถบอกสีได้ถูกต้องได้ว่า สิ่งของชิ้นนี้สีแดง, ชิ้นนี้สีน้ำเงิน, ชิ้นนี้สีชมพู เป็นต้น เนื่องจากเขาได้เรียนรู้มาตั้งแต่เด็กว่าสีแดงเป็นอย่างนี้ เพียงแต่สีที่เขาเห็นจะไม่เหมือนกับคนปกติเท่านั้น
คนที่ตาบอดสีแดงจะไม่สามารถแยกตัวอักษรสีเขียวบนพื้นสีส้ม
2. พวกที่เห็นภายหลังจากการมีโรคทางจอประสาทตา พวกนี้อาจจะเป็นกับตาข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ เช่น จอประสาทตาลอก, จุดรับภาพบวม ผู้ป่วยจะสับสนสีในการมองเห็นในแกนสีน้ำเงิน – สีเหลือง มากกว่าสีแดง – สีเขียว ซึ่งแตกต่างจากคนที่เป็นมาแต่กำเนิด อย่างไรก็ตาม พบว่าโรคของประสาทตาบางชนิดก็ทำให้สับสนสีในแกนสีแดงและสีเขียวได้ เช่นกัน ในรายที่สงสัยอาจต้องตรวจจอประสาทตาร่วมด้วย
ในคนไข้ที่จอประสาทตาผิดปกติมาแต่กำเนิด เช่น Albinism ( คนสีเผือก ), ConGenital Night Blindness จะมีความผิดปกติในการแลเห็นสีเพียงเล็กน้อย , ในคนไข้ที่เป็นโรค Cons Cells เสื่อม ( Cone Degenration ) และมีพยาธิสภาพของจอประสาทตา , พวก Toxic Amblyopia คนไข้พวกนี้จะมีตาบอดสีเป็นบางครั้ง , ส่วนคนไข้ที่เป็นโรคประสาทตา , ประสาทตาฝ่อ , ต้อหิน จะมีอาการบอดสีเขียว
จะรู้ได้อย่างไรว่าเราตาบอดสีหรือไม่
แพทย์ที่จะตรวจว่าท่านเห็นสีผิดปกติหรือไม่จากการใช้เครื่องมือง่ายๆ ก่อน ลักษณะเป็นแผ่นกระดาษที่พิมพ์สีเขียวเป็นจุดๆ คละกัน โดยสีทั้งหมดจะเป็นสีที่อยู่ในสีปฐมภูมิ สีแดง – สีเขียว ซึ่งคนตาบอดสีจะเห็นสีสับสน แต่คนปกติจะเห็นเป็นตัวเลขได้ชัดเจน เช่น ในแผ่นหนึ่งอาจจะเอาสีเขียวมาเรียงเป็นเลข 4 โดยมีพื้นเป็นจุดสีแดงคละกับสีม่วงและสีเทา คนนี้จะไม่แลเห็นเลข 4 แต่สามารถแลเห็นเลข 7
แต่ในคนที่ตาบอดสีเขียวก็จะเห็นสีเขียวกับสีม่วงเป็นสีเทา ก็จะไม่แลเห็นเลข 7 แต่เห็นเลข 4 เป็นสีเหลืองอ่อนๆ จากการใช้ภาพจุดสีทั้งหมดประมาร 38 แผ่น ( Islithara’s Pseudo Isochomatic Plates ) แพทย์ก็จะบอกได้ว่าท่านมีตาบอดสีหรือไม่ชนิดใด แต่ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นมากหรือน้อย ต้องใช้เครื่องมือที่มีความละเอียดสูงกว่า คือ Nagel Anomaloscope ซึ่งให้ผู้ป่วยเอาแสงสีแดงผสมกับสีเขียว จนออกเป็นสีเหลือง วิธีนี้สามารถบอกความรุนแรงของภาวะตาบอดสีได้ว่าท่านเป็นตาบอดสีหรือเป็นเพียงเห็นสีผิดปกติ นอกจากนี้ยังมีเครื่องมืออีกหลายอย่างที่ใช้ในการตรวจตาบอดสี เช่น Farnaworth – Munsell D 15 หรือ FM 100 ซึ่งมีลักษณะเป็นเม็ดกระดุมให้ผู้ป่วยเรียงสี ตั้งแต่สีอ่อนสีแก่ นอกจากนี้ยังมีการทดสอบผ่านอินเตอร์เนต โดยแผ่นภาพสีจะปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ไปเรื่อยๆ จนจบการทดสอบ หลังจากรวมคะแนนก็จะบอกชนิดของตาบอดของตาบอดสีให้กับผู้ใช้ได้
จะรักษาตาบอดสีได้อย่างไรและจะเป็นมากขึ้นหรือไม่
ตาบอดสีจะเป็นลักษณะที่ถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม ถูกควบคุมโดยยืนที่อยู่บนโครโมโซม X จึงรักษาไม่ได้ ทางแพทย์ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นความพิการทางสายตา จึงไม่ต้องรักษา ยกเว้นในรายที่เป็นมากซึ่งมีความผิดปกติแบบสามารถแลเห็นสีได้เพียงสีเดียวเท่านั้น ( Monochromatic Vision ) คือ มีเซลล์รับแสงที่เป็น Rod อย่างเดียวหรือ Blue Cone อย่างเดียว พวกนี้จะมีสายตาเลือนราง ( Low – Vision ) และสายตาสั้น ( Myopia ) ร่วมด้วยการใช้เครื่องมือช่วยในการมองเห็น ( Low Visiual Aids ) จะช่วยได้มาก
ในคนตาบอดสีส่วนใหญ่ คือประมาณ 5 % ในจำนวนทั้งหมด 8 % จะมีเพียงความผิดปกติในการมองเห็นสีเขียวกับสีม่วง ( Deuternomolous ) อีก 1 % เป็นความผิดปกติในการมองเห็นสีแดงกับสีน้ำเงินอมเขียว ( Protanopes ) และอีก 1 % เป็นคนตาบอดสีเขียว ( Deuteranopes ) ทั้งหมดทั้ง 4 แบบ ไม่จำเป็นต้องใช้แว่นหรืออุปกรณ์ช่วยในการมองเห็นใดๆ
คำศัพท์
คนที่ตาบอดสีแดง เรียก Protanopes
คนที่ตาบอดสีเขียว เรียก Deuternomolous
คนที่ตาบอดสีแดงกับสีน้ำเงินอมเขียว เรียก Protanomalous
คนที่ตาบอดสีที่สามารถแลเห็นสีได้เพียง 2 สีเท่านั้น เรียก Dichromatic Vision
คนที่ตาบอดสีที่สามารถแลเห็นสีเพียงสีเดียวเท่านั้น เรียก Monochomatic Vision
ทีมงานอขอบคุณดร. กวี โลพันธ์ศรี เรียบเรียงโดย ดร. กวี โลพันธ์ศรี D.V.M. , M.P.H., O.D.
| |
ผู้ตั้งกระทู้ Admin :: วันที่ลงประกาศ 2008-04-07 19:03:13 IP : 58.9.79.227 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1304450) | |
ดี | |
ผู้แสดงความคิดเห็น จอร์น (ford_132-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2008-10-29 13:26:27 IP : 61.7.171.9 |
ความคิดเห็นที่ 2 (1304451) | |
de ne | |
ผู้แสดงความคิดเห็น yun วันที่ตอบ 2008-10-29 13:30:10 IP : 61.7.171.9 |
[1] |
กระทู้นี้ไม่เปิดให้แสดงความคิดเห็น
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 250149 |