การมองเห็นสีต่างๆ ( Color Vision ) ได้นั้นเพราะจอประสาทของมนุษย์ดูดซึมคลื่นแสงต่างๆ เข้าสู่จอประสาทตาได้ แสงสว่างที่มนุษย์สัมผัสได้โดยประสาทตานั้น เป็นแสงสว่างที่มีคลื่นแสงช่วงที่มีความยาวคลื่นระหว่าง 4.1 10 – 7 ถึง 6.5 10 – 7 เมตร หรือ 400 - 750 หรือ 380 – 760 MU
ในกระบวนแสงที่ตามนุษย์มองเห็นนี้เป็นแสงสีขาวซึ่งประกอบด้วยสีต่างๆ เพื่อประดับโลกให้สวยงาม ดังนั้นแสงจากดวงอาทิตย์หรือดวงไฟจึงเห็นเป็นแสงสีขาวเซอร์ไอแซดนิวตัน พบว่าเมื่อให้แสงสีขาวผ่านปริซึมซึ่งเป็นแท่งแก้วที่มีพื้นที่หน้าตัดเป็นรูปสามเหลี่ยม ( ดังรูปที่ 1 )จะสามารถแยกแสงออกมาได้เป็น 7 สี ซึ่งมีความยาวคลื่นต่างกัน
|
7สี |
1.สีแดง |
|
2.สีแสด |
|
3.สีเหลือง |
|
4.สีเขียว |
|
5.สีน้ำเงิน |
|
6.สีคราม |
|
7.สีม่วง |
รูปที่1 |
|
|
แสงสีทั้ง 7 คือ แดง , แสด , เหลือง , เขียว , น้ำเงิน , คราม , ม่วง ถ้าหากความยาวคลื่นแสงยาวกว่าหรือสั้นกว่านั้นประสาทตามนุษย์รับไม่ได้ และเป็นน่าสังเกตว่าสีต่างๆ เหล่านี้มิใช้ว่าแยกจากกันได้โดยเด็ดขาดแต่จะค่อยๆ เพี้ยนไปจากเดิมแล้วกลืนเข้าสู่สีใหม่ตลอดทั้ง 7 สี
การที่แสงสีขาวผ่านปริซึมแล้วแยกออกไปสีต่างๆนั้นเป็นเพราะแสงสีต่างๆ มีความถี่ของคลื่นแสงต่างกัน จึงทำให้ความสามารถของคลื่นแสงในการผ่านปริซึมได้ไม่เท่ากันทำให้ทิศทางของแสงสีในแท่งแก้วปริซึม แบนแยกออกจากกันเราเรียกว่า การหักเหของแสง ( Refraction ) เราอาจพูดได้ว่าการหักเหของแสงจะมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับความถี่ของคลื่นแสง และสมบัติของตัวกลางที่แสงผ่าน สมบัติของวัตถุ หรือตัวกลางนี้มีค่าที่เรียกว่าดัชนีหักเหของวัตถุ ( Refractive Index ) ที่กล่าวมาแล้วเราพูดถึงแสงสีขาวแยกออกมาเป็น 7 สีแต่ยังไม่ได้พูดถึงวัตถุที่เป็นสี เช่น เสื้อสีแดง, กระดาษสีเหลือง หรือหน้ากระดาษที่ผู้อ่านกำลังอ่านตัวอักษรสีดำอยู่นี้ก็มีสีที่บอกได้ ว่าสีอะไรทั้งๆที่ตัววัตถุเองไม่มีแสงสว่างในตังเอง แต่ที่มีสีต่างๆ กันได้ก็เพราะกระดาษขาวเป็นตัวสะท้อนแสงที่ดีที่สุด สะท้อนทุกสีมาเข้าตาเรา ซึ่งเป็นผู้มองดูสีดำคือตัวสะท้อนแสงที่เลวที่สุด เพราะดูดกลืนหมดทุกสี ยกเว้นสีนั้นที่สะท้อนมาเข้าตาเรา เราจึงบอกได้ว่าวัตถุนั้นเป็นสีนัยน์ตาของมนุษย์เราไวที่สุดต่อแสงสีเขียวหรือสีเขียวแกมเหลือง แสงที่มีขนาดแสงถัดจากแสงสีแดงนั้นจะมีความยาวคลื่นแสงยาวกว่าคลื่นแสงสีแดงนั้นนัยน์ตาของมนุษย์เราไม่สามารถแลเห็นได้เรียกว่า รังสีแสงใต้แดง ( Infared Raye หรือ Dark heat rays ) แสงชนิดนี้ไม่จัดเข้าอยู่ในพวกแสงสว่าง เพราะจอประสาทตาของมนุษย์ไม่สามารถรับความรู้สึกได้ ส่วนแสงที่มีความยาวคลื่นแสงถัดจากแสงสีม่วง จะเป็นแสงที่มีความยาวคลื่นแสงสั้นกว่าคลื่นแสงสีม่วง นั้นนัยน์ตาของมนุษย์เราไม่สามารถแลเห็นได้เช่นกัน เราเรียกรังสีแสงนี้ว่า รังสีเหนือม่วง ( Ultra – Violet Rays หรือ Dark Chemical Rays )
อวัยวะที่เกี่ยวกับการมองเห็น ( Organ of Vision ) ของร่างกายมนุษย์นั้นเมื่อสัมผัสกับคลื่นแสงของรังสีอินฟราเรดหรือรังสีอุลตร้าไวโอเลต นั้นจะได้รับอันตรายโดยเฉพาะรังสีอุลตร้าไวโอเลต ซึ่งเป็นรังสีที่มีความยาวคลื่นแสงมากกว่ารังสีอินฟราเรดซึ่งเป็นรังสีที่มีความยาวคลื่นแสงสั้น ( Long Ultraviolet And Short infrared ) ดังนั้นเราสามารถป้องกันรังสีอุลตร้าไวโอเลตได้โดยสวมแว่นตาที่ฉาบสารเคมีไว้ที่ผิวเลนส์ เลนส์ชนิดนี้คือเลนส์ ยู . วี . เอ็กซ์ . ( U.V.X. Lense )
รังสีอุลตร้าไวโอเลตที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติคือรังสีที่มากับแสงอาทิตย์ และรังสีอุลตร้าไวโอเลตที่เกิดจากการทำให้เกิดขึ้นซึ่งรียกว่า “ Artificial Ultraviolet Light ” ได้แก่
- หลอดไฟไอของปรอท ( Mercury Vapour ), หลอดไฟฟลูโอเลสเซ็นต์ ( Fluorescente ) หลอดไฟคาร์บอนอาค ( Carbon Arc ) , หลอดตะเกียงทังสะเตน ( Tungaten Lemps. ) หลอดไฟเหล่านี้จะให้รังสีทั้งอุลตร้าไวโอเลตและอินฟราเลเด
- การที่นัยน์ตามนุษย์สามารถมองเห็นสีเป็นสีต่างๆ ได้นั้นเกิดจากการผสมสีเข้าด้วย และหากนำแสงสีใดก็ตามที่แยกออกมาได้นี้มา 2 สีผสมกันในสัดส่วนที่พอเหมาะแล้วจะเกิดเป็นแสงสีขาวขึ้น เช่น แสงสีแดงผสมกับ น้ำเงิน – เขียว สีส้มกับสีน้ำเงิน, หรือสีเหลืองกับสีน้ำเงิน, ก็จะเรียกว่าเป็นสีที่เป็น Complementary Pair ขณะเดียวกัน หากนำแสงสีอื่นๆ มารวมกันก็อาจจะให้สีที่แตกต่างกันไปอีกมากมาย เช่น สีแดงผสมกับสีเหลืองจะได้สีส้ม เป็นต้น
Joung อาศัยปรากฏการณ์ที่ค้นพบนี้มาวิเคราะห์ใหม่พบว่าสามารถลดสีปฐมภูมิ 7 สีของนิวตันเหลือเป็นแม่สีเพียง 3 สีเท่านั้น คือสีน้ำเงิน สีเขียว และสีแดงที่ สามารถผสมกันเกิดเป็นสีต่างๆ ได้ เขาจึงตั้งเป็นทฤษฎีอธิบายการมองเห็นสี ( Color Vision ) ที่เรียกว่า Trichomatic Theory ขึ้นในปี ค.ศ. 1802
|
การเกิดการผสมสีทั้ง 3 สีเข้าด้วยกันเรียก Trichomatic Matching ในผู้ชายบางคนจะมีความบกพร่องในการแลเห็นสีประมาณ 2 % และผู้ชายบางคนจะมีความบกพร่องในการแลเห็นสีได้ถึง 6% ซึ่งสีบางสีที่บกพร่องไปอาจเกิดชั่วคราว จอประสาทตาของมนุษย์จะมี Photoreceptor ที่ทำหน้าที่รับแสงสีต่างๆ คือ Cone cell 3 ชนิดที่มี Pigment 3 สี คือ สีน้ำเงิน, สีเขียว, และสีแดง แยกกันอยู่ การที่คนเราเห็นสิ่งใดก็ตามมีสีก็เนื่องจากของสิ่งประกอบด้วย Pigment ที่สามารถดูดซึมแสงสีส่วนใหญ่เอาไว้ และสะท้อนแสงหรือให้แสงอีกช่วงความยาวคลื่นหนึ่งที่อยู่ในแถบสีสเปคตรัม ( 400 – 700 NM ) ผ่านทะลุมาถึงตาของเรา เช่น วัตถุหนึ่งเห็นเป็นสีดำ ก็เนื่องจากมันสามารถดูดซึมแสงทั้งหมดที่ตกกระทบ หรือที่เราเห็นเลือดเป็นสีแดงเพราะเลือดมี Pigment สีแดง ที่สามารถดูดซึมแสงที่มีความยาวคลื่นต่ำกว่า 600 NM เอาไว้แล้วให้แสงที่มีความยาวคลื่น มากกว่าสะท้อนกลับ หรือผ่านทะลุมาจนถึงจอประสาทตาของเรา จนเกิดการกระตุ้น Red – Sensitive Cone ซึ่งภายในมี Visual Pigment ที่สามารถดูดซึมแสงที่มีความยาวคลื่นช่วงนี้ ( 7600 NM ) ได้ดีที่สุด ตาม Spectral Sensitive Curves ดังนั้นเราจึงเห็นเป็นสีแดง ส่วนการที่เราเห็นวัตถุใดก็ตามเป็นสีขาว ก็อาจเกิดจากวัตถุนั้นสะท้อนแสงทั้งหมดกลับมากระตุ้น Cone Cell ทั้งสามชนิดที่จอประสาทตาของเราพร้อมกัน หรือมิฉะนั้นก็อาจสะท้อนแสงที่เป็น Complementary Pair มากระตุ้นจอประสาทตาของเรา ขณะเดียวกันการกระตุ้น Visual Pigment 3 ชนิดนี้พร้อมกันในอัตราส่วนต่างกันได้มากมาย ( Color Discrimination ) เช่นเดียวกับการผสมสี
ตาบอดสี Color Blind
คนที่ตาบอดสีหมายความว่า มีความผิดปกติในการแลเห็นสีต่างๆ นั่นคือคนที่ตาบอดสีนั้นจะไม่สามารถแยกสีต่างๆ ได้ทั้ง 3 สี คือ สีแดง , สีเขียว, และสีน้ำเงิน เพราะเซลล์รับประสาทรับสี ( Cone – Pigment ) ไม่ทำงานหรืออ่อนกำลังลง ผู้ป่วยที่เห็นสีผิดปกติ ( Color Deficiency ) สามารถแบ่งออกเป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ
1. Acquired Defective Color Vision ) เป็นชนิดที่เกิดเนื่องจากโรคของประสาทตาหรือรับจอภาพ เช่น โรคจอรับภาพหลุดออก หรือโรคประสาทตาฝ่อ ซึ่งโรคพวกนี้ไม่ค่อยสำคัญ เพราะภาวะการมองเห็นไม่ค่อยดี
2. Congenital Defective Color Vision เป็นชนิดที่เป็นมาแต่กำเนิด
ตาบอดสีชนิดเป็นมาแต่กำเนิดนั้นเราแบ่งตาบอดสีได้เป็น 3 ชนิด
- ตาบอดสีแดง
- ตาบอดสีเขียว
- ตาบอดสี ทั้งสีเขียว และสีแดง
การที่ตาบอดสีใดสีหนึ่งหรือแค่การเห็นสีนั้นอ่อนลงจะทำให้การมองเห็นสีผิดไปจากความเป็นจริง เช่นในบางแสงส่วนผสมของสีแดงกับสีเขียวจะเห็นเป็นสีเหลือง
ถ้าคนที่ตาบอดสีแดงจะเห็นแสงสีแดงกีบสีเขียวกลายเป็นสีเหลือง และเห็นแสงสีเหลืองเป็นสีเขียว
การที่คนเราจะรู้อะไรขึ้นอยู่กับการาศึกษาและประสบการณ์ บางคนจะไม่ทราบเลยว่าตัวเองเป็นตาบอดสี เพราะได้ถูกสอนให้เรียนรู้สีต่างๆ มาตั้งแต่เด็ก จึงสามารถเรียกสีต่างๆ ได้เหมือนคนปกติ แตะจะเรียกสีผิด เมื่อเทียบระหว่างสีใกล้เคียงกัน เช่น ขณะเล่นบิลเลียด และหลักการอันนี้เองที่นำมาใช้ในการตรวจตาบอดสี
ตาบอดสีชนิด Congenital เป็นทางกรรมพันธุ์ และถ่ายทอดไปยังลูกหลานได้โดย X – Linked Recessive ดังนั้นจึงพบได้ในผู้ชายทั้งหมด ผู้ชายที่ตาบอดสีทั้ง 2 ชนิดมีอยู่ประมาณ
3 – 5 % ของคนทั่วๆไป และชนิดตาบอดสีแดง ตาบอดสีเขียวมีอัตราส่วนเท่ากับ 2 : 7 เพศหญิงเกือบจะไม่เป็นตาบอดสี แต่เป็นตัวการนำถ่ายทอดไปยังบุตรชายของตัว
พวกที่ตาบอดสีทั้งสีเขียวและแดง จะเห็นทุกสีเป็นสีขาวกับดำชนิดนี้พบน้อยมาก การผิดปกติของการแลเห็นสีต่างๆ มีสาเหตุมาจาก
1. มีการเปลี่ยนแปลงของชนิดหรือระดับความสามารถของ Photo Pigments
2. มีการเปลี่ยนแปลงของปริมาณหรือความหนาแน่นของ Pigments
3. เรติน่าไม่มี Pigments
4. มีการเปลี่ยนแปลงของขบวนการทางระบบประสาทเกี่ยวกับการรับภาพ
การแยกตาบอดสีชนิด Acquired ออกจาก Congenttal
1. น้อยครั้งที่ผู้ป่วย Congenital จะบอกสีผิด ในขณะที่ผู้ป่วย Acquired รายที่เพิ่งมีความผิดปกติ มักจะบอกสีผิดเสมอ และมักจะบ่นว่า สีของสิ่งที่คุ้นเคยดูผิดแผกไปจากเดิม
2. หากเป็น Congenital ความรุนแรงจะเท่ากันทั้งสองตาขณะที่ชนิด Acquired อาจเห็นสีผิดปกติเพียงตาเดียว หรืออาการในตาทั้งสองข้างไม่เท่ากัน
3. ชนิด Congenital ส่วนใหญ่จะถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์แบบ X – Linked Recessive ดังนั้นเกือบทั้งหมดจะพบในผู้ป่วย และมักตรวจพบว่าตาบอดสีแดงและสีเขียววิธีทดสอบผู้ป่วยอย่างง่ายๆ คือ ผู้ป่วยมักจะ แยกสีม่วงกับสีน้ำเงินไม่ได้ ขณะที่ชนิด Acquired มักจะมีตาบอดสีน้ำเงินแบะสีเหลืองผู้ป่วยจะสามารถแยก 2 สีนี้ได้เสมอ
4. ชนิด Congenital จะไม่พบความผิดปกติใดๆ ของเรติน่า และประสาทตา ( Optic nerve ) ขณะที่ชนิด Acquired มักตรวจพบสาเหตุเสมอ เช่น การเสื่อมของเรติน่า การลอกหลุดของเรติน่า เป็นต้น
5. ชนิด Congenital จะมีอาการคงที่ ขณะที่ผู้ป่วยชนิด Acquired อาจมีความรุนแรงของโรคไปได้ตลอดชีวิต
ตาบอดสีชนิด Congenital Colar Defect
1. Anomalous Trichomaly หรือ Trichromatism เป็นชนิดที่พบมากที่สุด ผู้ป่วยเหล่านี้จะมี Cone pigment ทั้ง 3 ชนิด แต่จะมีชนิดหนึ่งที่ทำงานผิดปกติไป
1.1 Protanomaly มีความผิดปกติของ Red – Sensitive Cone พบประมาณ 1% ของพลเมือง ( ตาบอดสีแดง )
1.2 Deuteranomaly มีความผิดปกติของ Green – Sensitive Cone พบมากที่สุด คือประมาณ 5% ของพลเมือง ( ตาบอดสีเขียว )
ทั้งสองชนิดนี้มีการถ่ายทอดทางพันธุ์กรรมแบบ X – Linked Recessive
1.3 Tritanomaly มีความผิดปกติของ Blue – Sensitive Cone พบผู้ป่วยประเภทนี้น้อยมาก ( ตาบอดสีน้ำเงิน )
2. Dichromatism ผู้ป่วยประเภทนี้จะมี Cone Pigments 2 ชนิดประกอบด้วย
2.1 Protanopia ผู้ป่วยจะขาด Red – Sensitive Cone พบประมาณ 1% ( ตาบอดสีแดง )
2.2 Deuteronopia ผู้ป่วยจะขาด Green – Sensitive Cone พบประมาณ 1% เช่นเดียวกัน (ตาบอดสีเขียว)
2.3 Tritanopia พบได้น้อยมาก และจะแยกจาก Acquired Color Vision Defect เช่น Dominant Inherited Optic Atrophy ได้ยากเพราะจะมีความสับสนในการแยกระหว่างสีน้ำเงินกับสีเหลือง เหมือนกัน
3. Monochromatism หรือ Achromatopia คือผู้ป่วยที่มี Cone Cell เพียงชนิดเดียวหรือไม่มีเลย ( Rod Monochromatism ) ซึ่งความผิดปกติพวกนี้พบได้น้อยมาก
วิธีทดสอบตาบอดสี Color Vision Test
วิธีทดสอบตาบอดสี มีหลายวิธี แต่วิธีที่สะดวกราคาถูก ง่ายและแปลผลได้แม่นยำพอสมควร เหมาะสำหับการใช้เป็น Screening Test คือ การทดสอบด้วย Ishihara Plante ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วไป
เรียบเรียงโดย.....ฝ่ายวิชาการ
วันเลือกตั้งชาวแว่นตา ครั้งที่ 16